สิงสาราสัตว์มารบกวน บางคนจึงนำไปปลูกไว้ในบ้านหรือสวนเพื่อเป็นสิริมงคลและเพื่อป้องกันผีสางนาง ไม้เข้ามาในบ้าน อีกทั้งยังนำไม้กฤษณาไปทำธูปบูชาพระ และทำพิธีต่างๆ ในศาสนา รวมทั้งใช้เป็นยาสมุนไพรใช้รักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย
ตามประวัติศาสตร์ไทยได้มีข้อมูลเกี่ยวกับไม้กฤษณาว่าเป็นไม้พื้นเมืองที่ เก่าแก่ของไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัยที่ปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ต่อมาในสมัยอยุธยาก็พบว่าไม้กฤษณาเป็นไม้เศรษฐกิจที่สำคัญและมีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์ของไทย เพราะเป็นที่ต้องการของนานาประเทศ ปรากฏว่าในสมัยสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (พ.ศ.1930) ได้มีการส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน เช่นเดียวกับสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (พ.ศ.2101) สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2135) สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2208) และสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระ(พ.ศ.2272) ส่วนการส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงญี่ปุ่น ปรากฏในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2166) และสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช(พ.ศ.2172) อีกทั้งได้ส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องราชบรรณาการถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(พ.ศ.2229)
ในสมัยอยุธยา นอกจากมีการส่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องบรรณาการแล้ว ยังถือว่าเป็นสินค้าที่ส่งออกที่ขึ้นชื่อของไทย สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2177) พ่อค้าชาวฮอลันดาได้นำไม้กฤษณาจำนวน 100 หาบ ไปค้าขายยังประเทศญี่ปุ่น ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2209) ชาวฮอลันดาได้บีบบังคับให้สยามจัดไม้กฤษณาให้จำนวน 30,000 หาบทุกปี และขอผูกขาดการค้าในปี พ.ศ.2218 รวมทั้งขอผูกขาดให้มีการส่งไม้กฤษณาปีละ 1,000 หาบ ไปยังเมืองสุรัต ประเทศอินเดีย
ตามหลักฐานจากบันทึกในจดหมายของบริษัทอินเดียตะวันออกระบุว่า ไม้กฤษณาของสยามมีคุณภาพดีที่สุดในโลกโดยเฉพาะไม้หอมที่มาจากบ้านนา (Agillah Bannah) ซึ่งเป็นพื้นที่ของจังหวัดนครนายก ในปี พ.ศ.2222 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ผูกขาดการค้าขายไม้กฤษณาโดยมีข้อกำหนดว่า การซื้อขายไม้กฤษณาจะต้องผ่านมือของหลวงเท่านั้น กฤษณาจึงกลายเป็นสินค้าผูกขาดที่สร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้แก่ชาติไทยมา อย่างยาวนาน จนกระทั่งมายกเลิกระเบียบดังกล่าวในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จากประวัติความเป็นมาของไม้กฤษณาของไทย จะเห็นได้ว่าประเทศไทยในอดีตได้มีไม้กฤษณาขึ้นอยู่จำนวนมาก ซึ่งสามารถตัดไม้กฤษณาเป็นเครื่องบรรณาการและเป็นสินค้าส่งออกที่มีคุณภาพ (ไม้กฤษณาที่มีสารหอมแล้ว) แต่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกไม้กฤษณาหรือการทำสารกฤษณา แสดงว่าไม้กฤษณาดังกล่าวเป็นไม้กฤษณาที่ขึ้นอยู่ในธรรมชาติทั้งสิ้น
การที่ไม้กฤษณาเป็นที่ต้องการของมนุษย์หลายชาติหลายภาษาก็เพราะเป็นพืชที่มี ประโยชน์มากทางด้านสมุนไพร มีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในตำราจีน กฤษณาใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้ลมวิงเวียน คลื่นไส้อาเจียน อาการปวดแน่นหน้าอก แก้หอบหืด แกโรคปวดบวมตามข้อและขับลมในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ส่วนในภาคตะวันออกกลาง ชาวอาหรับถือว่ากฤษณาเป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิตตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากการที่ในทะเลทรายมีไรอาศัยเกาะตามขนละเอียดบนผิวของคน และเป็นตัวนำเชื้อโรคกลุ่มไมโคพลาสมา ไรเหล่านี้ไม่แพ้น้ำมันหอมระเหยอื่นๆ แต่แพ้สารจากกลิ่นน้ำมันหอมกฤษณา ไม้กฤษณาจึงเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยนำแก่นกฤษณาหรือไม้สับ (ไม้ที่มีกฤษณาแทรกอยู่ในเนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อน) มาเผาด้วยถ่านหินในเตาขนาดย่อม เพื่อให้ควัน และกลิ่นหอมของกฤษณาติดผิวหนัง สามารถป้องกันแมลงหรือไรทะเลทรายมากัดจนเกิดแผลพุพองได้ และการนำไม้หอมมาเผาไฟ ยังช่วยอบห้องให้มีกลิ่นหอมเพื่อช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และการสูดดมควันกฤษณาถือว่าเป็นยาบำรุงโรคหัวใจอีกด้วย
นอกจากนี้ศาสนาอิสลามมีบัญญัติห้ามชาวมุสลิมดื่มสุราและใช้เครื่องสำอาง ประเภทน้ำหอมที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม แต่ให้ใช้เครื่องสำอางและน้ำหอมที่ผลิตจากสมุนไพรเท่านั้น จึงทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตเครื่องสำอางของชาวมุสลิมในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ก็ต้องการกฤษณาไปผลิตน้ำหอม แป้งทาหน้า และเครื่องสำอางประทินผิวอื่นๆ อีกหลายประเภท อีกทั้งประเทศแถบทวีปยุโรปที่เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ของโลกก็ต้อง ใช้น้ำหอมจากไม้กฤษณาเป็นหัวเชื้อผสมน้ำหอม ถึงแม้กากไม้กฤษณาที่เหลือจากการสกัดหัวน้ำหอมแล้วก็ยังสามารถนำไปสู่กระบวน การผลิตธูปหอมชนิดต่างๆ ได้ อีกทั้งเนื้อไม้ที่ไม่ได้นำไปกลั่นน้ำหอมก็สามารถนำไปแกะสลักเป็นเครื่อง ประดับและอื่นๆ ใช้ประโยชน์ได้ เช่น ลูกประคำ หีบใส่เครื่องเพชร รูปสลักนกอินทรีย์ และทำคันธนู เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น